นั่งดูหนังชนโรงเรื่องบิ๊กช๊อต เหมาะสำหรับนักลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ดูหนังชนโรงเรื่องนี้เหนื่อยโครตๆ ดูไปลุ้นไปยิ่งกว่าดูหนังผี วะซั่น! ใครจะคิดว่าธนาคารเป็นธุรกิจที่มั่นคงที่สุดแล้วนะยังเจ๊งง่ะ! ทั้งหมดเป็นเพราะตราสารหนี้ของไอ้หลุยส์ หรือเรียก ลูอิส ก็ได้นะ ลองดูหนังชนโรงมาเรื่อยๆ ยังไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ว่ามันก็มีคนอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติออกไป ก่อนที่เศรษฐกิจในประเทศจะล่ม แล้วพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มเดียวที่จะรวยจากเหตุการณ์นี้ ดูหนังชนโรงเรื่องนี้ พระเอก ชื่อไมเคิล และเขาก็ทำงานเป็นผู้ดูแลกองทุนและในปี 2005 เดือนมีนาคมไมเคิลเห็นความแปลก ของตัวเลขในปี 2001 ตลาดเทคโนโลยีราคาหุ้นตกมาก แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าของมันเพิ่มสูงขึ้นมาไม่หยุดเลย แต่นักลงทุนคนอื่น คิดว่ามันไม่เห็นแปลกเพราะว่าตลาดอสังหามันเสี่ยงน้อยกว่าตั้งเยอะมันก็เลยไม่แปลกที่จะมีคนมาลงทุนด้านนี้เพิ่ม
อีตาไมเคิลบอกว่างั้นลองไปหาตราสารหนี้จำนองบ้านสัก 20 ตัวดูมั้ย แล้วดูว่าพวกเขารับจำนอง อสังหาแบบไหนบ้าง ไมเคิล ยังลองหาข้อมูลด้วยตัวเอง ไมเคิลรู้สึกว่าการผ่อนบ้านของแต่ละคนที่ซื้อบ้านมันเริ่มมีการสะดุดลงบ้างอาจจะจ่ายช้า 2 เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขา เลยโทรบอกหัวหน้าว่าเขาอยากจะช็อตตลาด อสังหา สักหน่อย หัวหน้าคิดว่าไมเคิลนี้เพี้ยน และตลาดอสังหาโคตรพุ่งในตอนนี้แล้วมันจะแทงสวนลงเนี่ยนะ อะไรของเอ็งวะ ถ้าทำแบบนี้ก็ขาดทุนแย่
ดูหนังชนโรงชิวๆ มาเรื่อยๆไอ้หัวหน้าคิดว่าไมเคิลควรไปหาหุ้นตัวอื่นมาเข้ากองทุนดีกว่ามั้ย ถ้าดูหนังมาถึงตรงนี้คนที่ไม่เคยลงทุนอาจจะงงนิดนึงปกติแล้วหลักการง่ายๆในการลงทุนเราจะซื้อของที่มันราคาถูกมา แล้วเราก็คิดว่าในอนาคต ของชิ้นนี้ราคามันจะเพิ่มมากขึ้น จากนั้นเราก็แค่ขายของแล้วก็รับกำไรมาแต่ว่าในตลาดหุ้นจะมีสิ่งที่เรียกว่าสัญญาฟิวเจอร์ซึ่งมันจะซับซ้อนขึ้นมานิดนึงแต่หลักการก็คล้ายกัน
ดูหนังเรื่องบิ๊กช๊อตแบบไม่ให้งงนะ ยกตัวอย่างเมื่อกี้คือการที่เราซื้อของมาแล้วรอให้ราคามันขึ้น จากนั้นเราค่อยขายมันออกไป และสัญญาฟิวเจอร์อย่างเช่นในกรณีของไมเคิล เขารู้แล้วว่าราคาในตลาด อสังหายังไงมันก็ต้องลงแน่ ไมเคิลจึงไปหายืมคนที่มีหุ้นตัวนี้มาขายโดยข้อแลกเปลี่ยนของไมเคิลอาจจะให้ดอกเบี้ยในการยืมแทนแล้วพอไมเคิลมีสินทรัพย์ตัวนี้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เขาก็ทำสัญญาฟิวเจอร์ขึ้นมากับธนาคารโดยการที่เขาบอกกับธนาคารหรือว่าคนที่จะขายให้ว่าเขาจะขายหุ้นตัวนี้ให้ธนาคารในราคา 100 บาทต่อ 1 หุ้น พิมพ์พอละ… อยากให้ไปดูหนังชนโรงเรื่องนี้เอง…วะซั่น
ถ้างั้นข้ามมาดูหนังตอนท้ายสุดเลยละกัน สรุปในวันที่ 15 เดือนสิงหาคมปี 2008 ธนาคารรวมทั้งสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มปิดตัวลงพนักงานหลายคนถูกปลดออก คนหลายล้านคนตกงานอัตราหนี้เสียเพิ่มขึ้น และจากเหตุการณ์นี้ทำให้มีคนหลายคนไม่มีบ้านอยู่ ดูหนังชนโรงมาถึงตรงนี้ไมเคิลเขาน่าจะดีใจแต่พอเห็นว่าเศรษฐกิจมันแย่หนักกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาไม่มีความดีใจจากการเล็งเห็นสถานการณ์ที่เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ผลจากวิกฤตศรัทธาครั้งนี้เงินที่หายไปจากภาคการเคหะ เงินบำนาญ เงินเก็บ รวมทั้งพันธบัตรมีมูลค่าได้สูญเสียไปถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์และเหตุการณ์นี้มีคน 8 ล้านคนตกงานและคนอีก6 ล้านคนไม่มีบ้านอยู่และนี่คือผลกระทบที่ชาวอเมริกันได้รับแล้วเรื่องทั้งหมดก็จบลง ให้เราได้เรียนรู้ ท้ายสุดของการดูหนังจากวิกฤตครั้งนี้ จบด้วยการที่รัฐบาลของสหรัฐต้องพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เอ่า! ซะงั้น พี่ใหญ่ในอดีตทำได้แทบทุกเรื่อง วะซั่น!